เทสลา BYD และ ฮุนได สามผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่บรรลุข้อตกลงเตรียมเดินหน้าลงทุน อินโดนีเซีย แข่งเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อวันที่ 17 สำนักข่าว บลูมเบิร์ก รายงานว่า บริษัท เทสล่า, บีวายดี จากจีน, และ ฮุนได จากเกาหลีใต้ สามบริษัทยานยนต์ได้บรรลุข้อตกลงในการร่วมทุนรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV ในประเทศอินโดนีเซีย
ทางการอินโดนีเซียเปิดกล่าวว่า ผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำต่างมุ่งมาลงทุนกับพวกเรา (อินโดนีเซีย)
พร้อมยืนยันว่าผู้ผลิตรถยนต์ เช่น บีวายดี เทสล่า ฮุนได และอื่นๆได้บรรลุข้อตกลงดังกล่าวแล้ว นาย โจโค วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซียได้ตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตและผู้สนับสนุนในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยผู้ที่มาร่วมลงทุนในอินโดนีเซีย ทางรัฐบาลจะอนุญาตให้สามารถใช้แร่นิกเกิลสำรองของประเทศได้ โดยอินโดนีเซียเป็นแหล่งผลิตแร่นิกเกิลมากที่สุดในโลก มากกว่าอันดับสองหรือมาเลเซียถึง 3 เท่า
นอกจากนี้ทางบลูมเบิร์กยังเคยรายงานด้วยว่าทางเทสล่ามีแผนจะมาตั้งบริษัทในอินโดนีเซียด้วย
ธนาคารออมสินชวนฝากเงิน “ออมสินเผื่อเรียกพิเศษ 15 เดือน” ดอกเบี้ยสูงสุด 4.99 เปอร์เซ็นต์ต่อปี บุคคลธรรมดาปลอดภาษี เริ่มฝากได้ตั้งแต่วันนี้ 16 มกราคม ถึงหมดเขตวันที่ 31 มกราคม 2566
ธนาคารออมสิน (GSB) แนะนำผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินในระยะยาว “เงินฝากออมสินเผื่อเรียกพิเศษ 15 เดือน” บุคคลธรรมดาไม่หักภาษี พร้อมมอบดอกเบี้ยสูงสุดปีละ 4.99 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฝากเก็บเงินเอาไว้ใช้จ่ายทั่วไป พร้อมใช้ในยามฉุกเฉินได้ทุกเมื่อ โดยเงื่อนไขของ “เงินฝากออมสินเผื่อเรียกพิเศษ 15 เดือน” มีรายละเอียดและขอสังเกต ดังต่อไปนี้
สำหรับผลิตภัณฑ์ เงินฝากออมสิน เผื่อเรียกพิเศษ 15 เดือน มอบดอกเบี้ยสูงสุดปีละ 4.99 เปอร์เซ็นต์ บุคคลธรรมดาปลอดภาษี เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเก็บเงินเอาไว้ใช้จ่ายทั่วไป โดยสามารถฝากเพิ่มไม่ต่ำกว่า 1,000 บาทต่อครั้ง และจะคำนวณดอกเบี้ยเป็นแบบรายวันจากยอดเงินฝาก
นอกจากนี้ยังสามารถถอนเท่าไหร่ก็ได้ ทำให้มีความยืดหยุ่นในการวางแผนบริหารจัดการเงินได้อย่างลื่นไหล ตอบโจทย์ไลฟสไตล์ในปัจจุบัน เริ่มฝากได้ตั้งแต่วันที่ 2 – 31 มกราคม 2566 ในส่วนของการลงรับดอกเบี้ย จะโอนดอกเบี้ยและยอดเงินฝากเข้าบัญชีเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอนที่ผู้ฝากแจ้งไว้
ผู้ที่ต้องการฝากเงินเผื่อเรียกพิเศษ 15 เดือน จากธนาคารออมสิน จะต้องทำการเปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท และฝากเพิ่มครั้งละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท โดยเป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามประกาศกรมสรรพากร ไม่จำกัดวงเงินรับฝากต่อราย หากฝากครบ 15 เดือนนับตั้งแต่วันที่เริ่มฝาก ทางธนาคารออมสินจะโอนยอดเงินฝากและดอกเบี้ยเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอนที่ผู้ฝากแจ้งไว้
วิเคราะห์ดีล “บางจาก” ซื้อกิจการ “‘เอสโซ่” จับตาผลกระทบราคาน้ำมัน
สรุปดีลธุรกิจหมื่นล้านเมื่อ “บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” เข้าซื้อกิจการ “บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)” มูลค่า 55,000 ล้านบาท พร้อมวิเคราะห์แนวทางราคาน้ำมัน และจับตาพลังงานเชื้อเพลิงในประเทศไทยในอนาคต
เรียกว่ากลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการธุรกิจกันเลยทีเดียว หลังจากที่ “บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” ได้มีมติเอกฉันท์ จากที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันพุธที่ที่ 11 มกราคม 2566 ประกาศอนุมัติการเข้าทำธุรกรรมและเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญของ “บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)” จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. โดยในส่วนที่ลงนามแล้วล่าสุด คือ จำนวนหุ้นสัดส่วน 65.99 เปอร์เซ็นต์ จากหุ่นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ “เอสโซ่ ประเทศไทย” จาก ExxonMobil คิดเป็นมูลค่ากิจการ 55,000 ล้านบาท ส่วนทางด้าน “บางจาก” จะต้องทำคำเสนอซื้อหุ้น (Tender Offer) ที่เหลือเป็น 34.01 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นจำนวน 1,177.11 ล้านหุ้น
โดยคาดการณ์ว่าธุรกรรมการซื้อขายทั้งหมดระหว่าง “บางจาก” และ “เอสโซ่” จะดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 โดยธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดจะต้องได้รับการเห็นชอบจากหน่วยงานรัฐบาลที่มีส่วนเกี่ยข้อง อาทิ กระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า และหลังจากนี้หากการซื้อขายกิจการเป็นไปอย่างสมบูรณ์ จะส่งผลให้ “บางจาก” กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ “เอสโซ่ ประเทศไทย” แทนที่ ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. ซึ่งแการซื้อขายกิจการที่เกิดขึ้น จะต้องส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงกว้างอย่างแน่นอน และมีผลกระทบที่จะตามมาดังต่อไปนี้
สรุปผลกระทบ “บางจาก” ซื้อหุ้น “เอสโซ่”
ทั้งนี้ ทิศทางของอุตสาหกรรมน้ำมันและเชื้อเพลิงในประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไปบ้าง ทีมงาน The Thaiger จะมาร่วมวิเคราะห์ สรุปไทม์ไลน์เป็นข้อ ๆ เพื่อเป็นข้อมูลแนวทางในการวางแผนการเงิน ธุรกิจการลงทุน ของทุกท่านในอนาคตกันนะครับ ถ้าพร้อมแล้วก็เข้ามาอ่านกันได้เลย
1. อย่างแรกคือประเทศไทยจะมีเสถียรภาพทางพลังงานมากกว่าเดิม พร้อมทั้งมีสินทรัพย์เพิ่มเติมจาก โรงกลั่นน้ำมัน 174,000 บาร์เรลต่อวัน พร้อมทั้งเครือข่ายคลังน้ำมัน พร้อมสภานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง
2. หลังจากนี้หาก “บางจาก” ซื้อขายกิจการ “เอสโซ่ ประเทศไทย” สำเร็จสมบูรณ์ในช่วงครึ่งหลังปี 2566 ก็จะทำให้มีประสิทธิภาพในการเพิ่มกำลังกลั่นน้ำมันเป็น 294,000 บาร์เรลต่อวัน และมีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันมากถึง 2,100 แห่ง ทำประสิทธิภาพของต้นทุนบริษัทเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> เซ็กซี่บาคาร่า ไฮโลออนไลน์